การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

ในช่วงระหว่าง 9 เดือนนับเป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากสำหรับพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกน้อยในครรภ์ซึ่ง คุณแม่ทุกคนล้วนมีความต้องการที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอาหารการกิน อาหารเสริมต่างๆ แต่สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือสุขภาพของทารกน้อย !!

เมื่อพูดถึงสุขภาพความสมบูรณ์แข็งแรงของเด็กในท้องแล้ว คำถามที่ทุกคนมักคิดถึงเป็นอันดับต้นๆคือ “ลูกของเราปัญญาอ่อนรึเปล่า” หรือว่า “ลูกของเราเป็นดาวน์ซินโดรมรึเปล่า” สิ่งที่คุณหมอทำได้ก็คือให้ข้อมูลความเสี่ยงที่ลูกในครรภ์ของคุณแม่จะมีความผิดปกติจากปัจจัยต่างๆ เช่น ยิ่งคุณแม่มีอายุมาก ความเสี่ยงที่ลูกจะมีภาวะดาวน์ซินโดรมก็จะยิ่งมาก ถ้าคุณแม่กลุ่มนี้มีความกังวลมากคุณหมอมักจะแนะนำให้เจาะน้ำคร่ำเพื่อเอาเซลล์ของลูกน้อยที่หลุดจากร่างกายมาลอยอยู่ในน้ำคร่ำไปตรวจดูว่าลูกน้อยของคุณแม่เป็นดาวน์ซินโดรมหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นคุณแม่ที่มีความเสี่ยงต่ำ คุณหมอก็อาจจะแนะนำให้ทำการตรวจเลือดดูค่าฮอร์โมนต่างๆในเลือด เพื่อตรวจคัดกรองหาโอกาสที่ลูกน้อยของคุณแม่จะมีภาวะดาวน์ซินโดรมหรือไม่ การตรวจแบบหลังมีความแม่นยำน้อย

โดยที่ผ่านมาการตรวจหาความผิดปกติดังกล่าว จะทำโดย การเจาะน้ำคร่ำ ( Amniocentesis) แล้วเอาเซลล์ของลูกน้อยที่ลอยอยู่ในน้ำคร่ำมาตรวจหาความผิดปกติของสารพันธุกรรมที่อยู่ในเซลล์ หัตถการนี้มีการทำกันมานานหลาย 10 ปีแล้ว ข้อดีของวิธีการนี้คือ สามารถนำเซลล์ที่ได้จากการเจาะน้ำคร่ำมาหาความผิดปกติของ โครโมโซม ซึ่งเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นแท่งเวลาเซลล์แบ่งตัว และอยู่ในแกนกลางของเซลล์ที่เรียกว่า นิวเคลียส โครโมโซมของคนเรามีจำนวนแน่นอนเท่ากันทุกคน คือมีคนละ 46 แท่ง หรือ 23 คู่ โครโมโซมแต่ละแท่งจะบรรจุสารพันธุกรรมที่ควบคุมการสร้างส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเราไว้เป็นจำนวนมาก รวมทั้งยังมีหน้าที่กำหนดเพศของคนเราด้วย

ถ้าลูกน้อยของคุณแม่มีความผิดปกติของโครโมโซม ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติทางด้านจำนวนแท่งที่มีมากขึ้นหรือน้อยลง หรือความผิดปกติของรูปร่าง เช่น ชิ้นส่วนบางชิ้นบนโครโมโซมหายไป หรือมีการสลับที่กันของชิ้นส่วนบนโครโมโซม ความผิดปกติเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดโรคหรือความผิดปกติได้ทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ดาวน์ซินโดรม ซึ่งเป็นภาวะที่ทารกจะโตขึ้นมาเป็นเด็กปัญญาอ่อนและพบได้บ่อย ก็ เกิดจากการที่มีโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง

การเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมโดยเฉพาะภาวะดาวน์ซินโดรม มีความแม่นยำในการตรวจมากกว่า 99% แต่การเจาะน้ำคร่ำก็มีข้อจำกัดอยู่สองประการหลักๆ ประการแรก คือ มีความเสี่ยงในการแท้งบุตร เนื่องจากการที่เราจะได้เซลล์น้ำคร่ำมาวิเคราะห์นั้น คุณหมอจะต้องใช้เข็มเจาะเข้าไปผ่านหน้าท้องของคุณแม่เข้าไปในมดลูกเพื่อทำการดูดน้ำคร่ำที่อยู่รอบๆ ตัวทารก โดยสาเหตุของการแท้งบุตรอาจเกิดจากถุงน้ำคร่ำรั่ว มีการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ หรือว่าเข็มที่เจาะไปโดนตัวทารกขณะเจาะ โดยอัตราการแท้งจะมีประมาณ 0.5% – 1% ส่วนประการที่สองเป็นเรื่องของระยะเวลาในการรอผล โดยปกติแล้วการเจาะน้ำคร่ำนั้นจะทำเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16-20 สัปดาห์ ระยะเวลาที่รอการรายงานผลจะประมาณ 3-4 อาทิตย์ ซึ่งการรอคอยนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้แก่คุณแม่เป็นอย่างมาก

ต่อมาได้มีการคิดค้นวิธีการตรวจคัดกรองภาวะดาวน์ซินโดรม โดยการคำนวณหาปริมาณซีรั่มหรือฮอร์โมนในเลือดแม่ร่วมกับการวัดความหนาของของเหลวที่อยู่ด้านหลังต้นคอของทารกในครรภ์จากการตรวจด้วยอัลตราซาวด์ ผลของการหาปริมาณฮอร์โมนต่างๆ ร่วมกับการวัดความหนาของของเหลวที่ต้นคอทารกในครรภ์ จะบอกความเสี่ยงที่ลูกน้อยในครรภ์ของคุณแม่จะเป็นดาวน์ซินโดรมได้ ข้อดีของการตรวจแบบนี้คือ ความปลอดภัยครับ เนื่องจากใช้เลือดแม่ในการตรวจ ไม่มีความเสี่ยงกับลูกน้อยในครรภ์ แต่มีข้อจำกัดก็คือความแม่นยำในการแปลผลยังต่ำมาก คือถูกต้องประมาณ 60% – 90% เท่านั้น และบอกผลได้แค่ว่าลูกน้อยของคุณแม่ เสี่ยง ที่จะเป็นดาวน์ซินโดรมได้เท่าไรเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าลูกของคุณแม่เป็นดาวน์ซินโดรมหรือไม่เป็นดาวน์ซินโดรมตรงๆ และที่สำคัญบางครั้งยังให้ผลการตรวจที่เป็นผลบวกลวงได้ด้วย เช่น คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ผลการตรวจออกมาว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะมีดาวน์ซินโดรมจำนวน 100 คน คุณแม่เหล่านี้จะถูกแนะนำโดยคุณหมอให้เจาะน้ำคร่ำเพื่อยืนยันผลให้แน่ชัด แต่ปรากฏว่ามีคุณแม่เพียงแค่ 5 คนเท่านั้นที่มีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจริงๆ ส่วนคุณแม่อีก 95 คนที่เหลือมีลูกที่ปกติดี แต่ก็ต้องถูกเจาะน้ำคร่ำ และที่แย่ไปกว่านั้นคือพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ลูกในครรภ์เป็นดาวน์ซินโดรมจริง แต่การทดสอบด้วยวิธีนี้ก็บอกได้ไม่ทั้งหมด เช่น คุณแม่ที่มีลูกเป็นดาวน์ซินโดรมจริงๆ 20 คน อาจจะผ่านการตรวจด้วยวิธีนี้ในคุณแม่แล้วพบว่าผิดปกติเพียงแค่ 17 คนเท่านั้น โดยอีก 3 คนที่เหลือจะทราบว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรมก็ต่อเมื่อคลอดออกมาแล้ว ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นที่มาของการศึกษาวิจัยกันอย่างกว้างขวางของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่จะช่วยกันพัฒนาการตรวจแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าแบบเดิมๆ

ในปี ค.ศ. 1997 ศาสตราจารย์เดนนิส โล (Dennis Lo) จากฮ่องกง ได้ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่ก็คือ พบว่าในเลือดของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มี ดีเอ็นเอ (สารพันธุกรรมที่บรรจุในโครโมโซม) ของลูกในครรภ์ ปะปนอยู่ ซึ่งเป็นการค้นพบนี้ทำลายความเชื่อเดิมๆ ในวงการแพทย์ที่ว่า ดีเอ็นเอของลูกไม่สามารถข้ามผ่านเข้ามาอยู่ในกระแสเลือดแม่ได้ เนื่องจากมีรกเป็นตัวป้องกันหรือเลือกกรองสิ่งที่จะเข้าออกระหว่างร่างกายลูกกับร่างกายแม่ ภายหลังการค้นพบนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้ทำการวิจัยพัฒนาการวิเคราะห์ความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกจากเลือดแม่โดยการวิเคราะห์ดีเอ็นเอของลูกที่อยู่ในเลือดแม่ เราเรียกการตรวจแบบนี้ว่า Non-Invasive Prenatal Testing หรือเขียนย่อว่าNIPT (ซึ่งหมายถึงการตรวจความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของทารกในครรภ์โดยไม่ต้องทำหัตถการที่เสี่ยง เช่น การเจาะน้ำคร่ำ การตัดชิ้นเนื้อรก หรือการดูดเลือดจากสายสะดือภายในมดลูก)

ในปี ค.ศ. 2011 การตรวจ NIPT ตัวแรกก็ถูกเปิดตัวให้แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรกโดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์ดีเอ็นเอของแม่และลูกรวมกัน แล้วนำดีเอ็นเอของโครโมโซมแต่ละคู่มาเปรียบเทียบกันเพื่อดูอัตราส่วนต่อกันโดยใช้เปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้มีการศึกษาไว้ ยกตัวอย่างเช่นหากพบว่ามีดีเอ็นเอที่มาจากโครโมโซมคู่ที่ 21 มากกว่าค่าปกติ แปลว่าทารกที่อยู่ในครรภ์นั้นมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะดาวน์ซินโดรมได้สูงกว่าเดิม เราเรียกเทคนิคนี้ว่าWhole Genome Sequencing (WGS) มีความแม่นยำมากกว่า 99% อย่างไรก็ดีหากว่าปริมาณดีเอ็นเอของทารกที่อยู่ในเลือดแม่มีน้อยกว่า 8% ความแม่นยำของเทคนิคนี้จะลดเหลือ 75% เท่านั้น โดยปกติแล้วปริมาณดีเอ็นเอของลูกที่อยู่ในเลือดแม่จะมีประมาณ 10-15% โดยเฉลี่ย บางคนอาจจะมีแค่ 3% บางคนอาจจะมีสูงถึง 30% ซึ่งปริมาณดีเอ็นเอของลูกที่อยู่ในเลือดแม่นี้จะสูงขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น และเปอร์เซ็นต์ของดีเอ็นเอของลูกต่อดีเอ็นเอของแม่และลูกรวมกันจะยิ่งลดลงในกรณีที่แม่มีน้ำหนักเยอะ เนื่องจากว่าแม่ที่ขนาดตัวใหญ่จะมีปริมาณเลือดแม่ที่มากกว่าแม่ที่มีขนาดตัวเล็ก ดังนั้นอายุครรภ์ที่เหมาะสมสำหรับการตรวจ NIPT ด้วยเทคนิค Whole Genome Sequencing นั้นจะเริ่มตั้งแต่ 10-12 สัปดาห์เป็นต้นไป การตรวจด้วยวิธีนี้เช่นการตรวจที่เรียกชื่อว่า Non-Invasive Fetal TrisomY Test หรือนิยมเรียกกันย่อๆว่า นิฟตี้ (Nifty test)

ในปี ค.ศ. 2013 ได้มีการตรวจ NIPT โดยเทคนิคใหม่ซึ่งทำให้สามารถแยกดีเอ็นเอแม่ออกจากดีเอ็นเอลูกได้ เทคนิคใหม่นี้เรียกชื่อว่า Single Nucleotide Polymorphism (SNP) แต่มักนิยมเรียกกันว่า สนิป (snip) โดยอาศัยหลักการที่ว่ามนุษย์ทุกคนจะมีดีเอ็นเอที่เหมือนกันอยู่มากกว่า 99% ของดีเอ็นเอทั้งหมด และจะมีส่วนที่ไม่เหมือนกันอยู่อีกประมาณ 1% ซึ่งใน 1% นี้เองที่ในแต่ละคนจะแตกต่างกัน คล้ายๆ กับลายนิ้วมือของแต่ละคนที่จะไม่เหมือนกันแม้จะมีนิ้วมือเหมือนๆกันก็ตาม ดังนั้นแม่กับลูกเองก็จะมีดีเอ็นเอที่แตกต่างกัน ด้วยความแตกต่างตรงนี้เองจึงถูกนำมาใช้ในวิธีการ แยกดีเอ็นเอของแม่และดีเอ็นเอของลูก ออกจากกัน ทำให้เราสามารถเลือกเฉพาะดีเอ็นเอของลูกเท่านั้นเพื่อนำมาทำการวิเคราะห์ต่อไป ดังนั้นด้วยเทคนิค “สนิป” ที่นำมาใช้ เราจึงไม่จำเป็นต้องนำโครโมโซมมาเปรียบเทียบอัตราส่วนกันอีกต่อไปแล้ว และความแม่นยำในการตรวจหาความผิดปกติของดีเอ็นเอทารกในครรภ์ก็มีมากกว่า 99% ไม่ว่าปริมาณดีเอ็นเอของลูกจะมากหรือน้อยกว่า 8% ก็ตาม

อย่างไรก็ตามมีข้อที่ควรคำนึงก็คือ ถ้าหากปริมาณดีเอ็นเอของลูกในเลือดแม่มีน้อยกว่า 4% ไม่ว่าจะใช้เทคนิคหรือวิธีการใดก็ไม่สามารถรายงานผลการตรวจได้

เทคนิค “สนิป” สามารถตรวจหาความผิดปกติได้เพิ่มเติมมากกว่าเทคนิค Whole genome sequencing เช่น สามารถตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมชนิด Triploidy ซึ่งเป็นความผิดปกติที่ทารกมีโครโมโซมอย่างละ 3 แท่งในโครโมโซมทุกๆ คู่ หรือ ความผิดปกติที่มีการขาดหายของดีเอ็นเอในปริมาณเพียงเล็กน้อย (microdeletions) จำนวน 5 กลุ่มอาการ รวมทั้งสามารถตรวจหาเพศของทารกได้ด้วยความแม่นยำอีกด้วย

“วิธีการตรวจด้วย เทคนิคสนิป นี้ทำได้โดยการเจาะเลือดแม่มาตรวจ ซึ่งสามารถตรวจได้ในคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 9 สัปดาห์ขึ้นไป เทคนิคนี้ยังสามารถตรวจหาโรคที่มีความผิดปรกติที่มีโครโมโซมเกินมาของคู่ที่ 21, 18, 13, X และ Y ได้อีกด้วย”

กล่าวโดยสรุปแล้ว NIPT เป็นการตรวจชนิดใหม่ที่ทำการรวมเอาข้อดีของการการเจาะน้ำคร่ำและการคำนวณหาปริมาณเซรั่มและฮอร์โมนจากเลือดแม่เข้าด้วยกัน ทำให้ NIPT นั้นเป็นการตรวจที่ปลอดภัย สะดวก ไม่มีความเสี่ยงกับการแท้งบุตร มีความแม่นยำเกือบจะเทียบเท่ากับการเจาะน้ำคร่ำ ถือว่าเป็นทางเลือกใหม่ให้กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์กันทุกคน

บทความจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2557 เขียนโดยรองศาสตรจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล