July 18, 2025
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) เป็นปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อมีอาการปัสสาวะแสบขัด หรือระคายเคืองบริเวณท่อปัสสาวะ หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่าเป็น “หนองใน” หรือไม่ แต่รู้หรือไม่ว่า ยังมีอีกโรคหนึ่งที่มีอาการคล้ายกัน คือ “หนองในเทียม” ซึ่งแม้จะดูไม่รุนแรงในช่วงแรก แต่อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้หากไม่รักษาอย่างเหมาะสม
บทความนี้ จะพาคุณมาทำความรู้จักความแตกต่างระหว่าง หนองในแท้ และ หนองในเทียม รวมถึงความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ในระยะยาว
ความแตกต่างของหนองในแท้ vs หนองในเทียม
หนองในแท้ (Gonorrhea) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งสามารถติดเชื้อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันทั้งทางช่องคลอด ทวารหนัก และช่องปาก ซึ่งหากติดเชื้อแล้ว มักจะมีอาการ เช่น:
🔸ปัสสาวะแสบหรือมีการระคายเคือง
🔸มีหนองหรือของเหลวที่ออกจากท่อปัสสาวะหรือช่องคลอด
🔸อาการปวดหรือบวมในอัณฑะ (ในผู้ชาย)
🔸อาการปวดในท้องส่วนล่าง (ในผู้หญิง)
🔸อาจมีอาการเจ็บคอหรือเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์
หนองในเทียม (Non-gonococcal Urethritis – NGU) เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อ Neisseria gonorrhoeae แต่มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียอื่น เช่น Chlamydia trachomatis และ Mycoplasma genitalium โดยทั่วไปหลังการติดเชื้อมักมีอาการ เช่น:
🔸อาการปัสสาวะแสบหรือระคายเคือง
🔸มีของเหลวหรือหนองออกจากท่อปัสสาวะ
🔸อาการปวดหรือไม่สบายบริเวณท้องล่าง
🔸อาจไม่มีอาการแสดงในบางกรณี
อาการจำเพาะในผู้ชายและผู้หญิง
👨⚕️ ผู้ชาย (ระยะฟักตัว 1–3 วันหลังติดเชื้อ)
– ปวดถุงอัณฑะ
– มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามตั
– ปวดท้องน้อย
– ท่อปัสสาวะบวมแดง แสบขัดเวลาปัสสาวะ
– มีหนองข้นหรือเมือกสีขาวขุ่นออกจากท่อปัสสาวะ
👩⚕️ ผู้หญิง (ระยะฟักตัว ~10 วันหลังติดเชื้อ)
– มีตกขาวผิดปกติ
– ประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกกะปริดกะปรอย
– คัน แสบ หรือระคายเคืองภายในช่องคลอด
– ปัสสาวะแสบขัด
– เจ็บกระดูกเชิงกรานระหว่างมีเพศสัมพันธ์
– มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง ปวดเมื่อยตามตัว
แม้ว่าโรคหนองในแท้และหนองในเทียมจะดูไม่รุนแรงในระยะแรก แต่อาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงหากปล่อยไว้โดยไม่รักษา เช่น ผู้ชายอาจเกิดการอักเสบของอัณฑะหรือหลอดนำอสุจิจนมีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์และเสี่ยงเป็นหมัน ส่วนผู้หญิงอาจเกิดการติดเชื้อที่ลุกลามไปยังมดลูกหรือปีกมดลูก ซึ่งในกรณีตั้งครรภ์อาจทำให้ทารกติดเชื้อระหว่างคลอดได้ ทั้งสองโรคแม้มีอาการคล้ายกัน แต่มีสาเหตุและผลกระทบต่างกัน จึงควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว และเพื่อสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัยของทั้งตนเองและคู่ของตน
โรคทั้งสองสามารถป้องกันได้ด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และหากพบว่ามีการติดเชื้อ ควรเข้ารับการรักษาพร้อมกับคู่ของตนเพื่อหยุดวงจรการแพร่กระจายของโรค
หากคุณและคู่ของคุณมีความกังวลใจเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตรวจคัดกรอง STIs (Sexually Transmitted Infections) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้รู้เท่าทันการติดเชื้อ และสามารถป้องกันหรือรักษาได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที
65/17-18 ซอยวิภาวดีรังสิต 16/6 ถ.วิภาวดีรังสิต แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. 10900
โทรศัพท์ : 02-690-0063, 086-306-2084 090-907-4230
แฟกซ์ : 02-690-0064
อีเมล : info@bccgroup-thailand.com